วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559

My Bitter Sweet Life Lesson 5 บทเรียนชีวิตหวานขม 5

บทเรียนชีวิตหวานขม 5

              6 เมษายน 59 วันนี้เป็นวันจักรี วันหยุดราชการของไทย แน่นอนว่าเราเลยไม่ได้ไปเรียน ทำให้มีเวลามานั่งอัพบล็อกอยู่ตรงนี้ หน้าตึกอธิการบดี ที่ๆมีอินเตอร์เน็ตเร็วๆ ม้านั่งยาว พัดลม และวิวดีๆ เหมาะกับการมานั่งอ่านหนังสือจริงๆ ตอนนี้เรานั่งล้อมไปด้วยเพื่อนร่วมอุดมการณ์สี่ห้าคนต่างคณะที่ออกจากห้องมาหาที่อ่านหนังสือดีๆ อย่างที่นี่ จริงๆวันนี้ควรจะเป็นวันหยุดสุดหรรษาของเราที่จะไปเดินช็อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือนอกเวลา แต่ด้วยเหตุผลว่าจะต้องสอบวิชาไวรัสวันพรุ่งนี้ เราเลยต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ยังไงหล่อ เฮ้ออ

                 ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ถามตัวเองด้วยความขี้เกียจว่าทำไมต้องมามีสอบวันพรุ่งนี้ด้วยเนี่ยยย ทำไมต้องนอนดึก ตื่นเช้ามาเพื่อมาอ่านหนังสือวันแล้ววันเล่าไม่มีวี่แววจะได้หยุดพักเลย เป็นคำถามที่ถามตัวเองทีไรก็ไม่ได้คำตอบที่ตรงใจสักเท่าที ดูเหมือนว่าบทเรียนในวันนี้จะมีแต่ความขมซะเป็นส่วนใหญ่ เป็นความขมขื่นของตัวเราเองแหละ ที่ไม่อยากอ่านหนังสือ ฮ่าๆ แต่ถึงจะไม่อยากจะอ่านขนาดไหน พอจะสอบก็ต้องอ่าน ต้องทำความเข้าใจให้ได้อยู่ดี

                จริงๆเราเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก เป็นหนอนหนังสือตั้งแต่ๆ เป็นเด็กน้อยที่ค้นพบว่ามีหนังสือให้อ่านฟรีมากมายในห้องสมุดโรงเรียน แถมยังยืมออกมาอ่านอยู่บ้านได้อีกด้วย เราเข้าห้องสมุดทุกเที่ยง และหลังเลิกเรียน สนิทกับครูบรรณาลักษณ์แบบซี้ปึ๊ก ไปช่วยครูซะจนครูแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยบรรณาลักษณ์ มีใบประกาศเกรียรติคุณที่เซ็นต์รับรองคุณงามความดีโดยผู้อำนวยการโรงเรียน ชีวิตวัยเด็กน้อยๆของเรามีความสุขมาก ได้อ่านหนังสือทุกเล่มที่อยากอ่าน มีทักษะการค้นหนังสือในห้องสมุด ทำทะเบียนหนังสือ นอกจากนั้นยังได้ไปตามหนังสือคืนจากนักเรียนที่ยังไม่คืนหนังสือด้วย พอโตขึ้นมา เวลาที่จะเข้าห้องสมุดน้อยลง งานเยอะ ภาระมากขึ้น หนังสือที่ต้องอ่านก็กลับกลายมาเป็นหนังสือเรียน และชีทมากมาย ไม่มีความสนุกรึน่าตื่นเต้นใดๆในการอ่านเอาซะเลย....

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

My Bitter Sweet Life Lesson 4 บทเรียนชีวิตหวานขม 4

บทเรียนชีวิตหวานขมของเราวันนี้ว่าด้วยเรื่องความขี้เกียจ


           แน่แหละ ใครๆก็ขี้เกียจกันทั้งนั้น น้อยมากต่างกันขึ้นกับความรับผิดชอบของแต่ละคน เราเป็นคนนึงแหละ ที่ขี้เกียจเอามากๆเลย ตั้งแต่ขี้เกียจตื่นเช้า ขี้เกียจอาบนำ้ ขี้เกียจทำการบ้าน ขี้เกียจอ่านหนังสือ ขี้เกียจทำงานบ้าน ขี้เกียจออกไปซื้อของ ขี้เกียจออกกำลังกาย เห้อออ พูดไปสรุปแล้วขี้เกียจทำทุกอย่าง ยกเว้น กิน กับ นอน ฮ่าๆ 

           หลายครั้งที่ความขี้เกียจของเราเป็นเหตุผลหลักทำให้เกิดเหตุการที่เราเรียกมันว่า "การยกเลิกภารกิจ" แล้วจบลงด้วยการเอนตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มๆ กับผ้าห่มคู่ใจ ภารกิจอันใดที่เราหมายมั่นปั้นมือวางแผนว่าจะทำ ก็เป็นอันเสียเวลาเปล่า พอจะกลับมาทำตามแผน ก็มีงานอันใหม่รอเราอยู่แล้วหน่ะสิ  บางครั้งความขี้เกียจของเราทำให้เราหันไปทำอย่างอื่นที่ไร้สาระกว่า เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเฟสบุ๊ค เล่นเกมส์ หรือเดินช็อปปิ้ง 

           เฮ้อออ พอลองกลับมาคิดทบทวนดูแล้ว เราเสียหายไปแค่ไหนแล้วนะกับคำว่าขี้เกียจ งานกี่อย่างแล้วที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เราหวังเพราะเร่งทำวันสุดท้าย คะแนนสอบอันน้อยนิดเพราะอ่านหนังสือมาสอบไม่ทัน เสื้อผ้ากองสูงแค่ไหนแล้วจากการผัดวันประกันพรุ่ง เราสูญเสียเวลามากแค่ไหนกับไอ้ความขี้เกียจของเราเนี่ยยย

             เราลองกลับมาถามตัวเองว่า เอ้าาา แล้วต้องทำไงหล่ะ ถึงจะสลัดไอ้ความขี้เกียจบ้าบอนี่ออกไปจากเราได้? บางครั้งคนเราก็ต้องการกำลังใจ ต้องการอะไรสักอย่างที่มาเตือนใจตัวเอง ให้ตัวเอง Keep doing, keep going, keep walking ต่อไป เช่นคำพูดดีๆจากคนที่เรานับถือ รูปภาพของไอดอลเรา การอ่านหนังสือ feel good สักเล่ม การนึกถึงความฝันของเรา หรือแม้แต่การนึกถึงใครสักคนที่เรารุ้ว่าเค้าไม่ย่อท้อต่อชีวิต ไม่มีแม้แต่เวลาที่จะมานั่งขี้เกียจแบบเรา... สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราฉุดคิดได้ แล้วสลัดความขี้เกียจในใจเราออกไป

                เราตัองหัดเตือนตัวเองอยู่เสมอ เพราะเวลาของเรามีวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน จะสละเวลาอันนี้ค่านี้ให้กับอะไรบ้างก็ต้องพิจารณาดู

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

My Bitter Sweet Life Lesson 3 บทเรียนชีวิตหวานขม 3

         Nobody perfect! คำนี้ช่างเป็นจริงเหลือเกิน ในความคิดของเรา ไม่มีใครบนโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบจริงๆสักคน ถึงแม้บางคนจะทำให้เรารู้สึกว่าเขาใกล้เคียงกับคำว่า perfect แค่ไหนก็ตาม 

          บางทีมันก็ยากที่จะยอมรับ เพราะสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวัน ตั้งใจเรียน ทำงาน อ่านหนังสือ หาเงิน ก็เพื่อให้ตัวเองใกล้เคียงกับความเพอร์เฟ็คที่ตัวเองวาดฝันมากขึ้นเท่านั้น แล้วไอ้ความเพอร์เฟ็คจริงๆ มันคืออะไร มากแค่ไหน ถึงจุดไหนถึงจะเรียกได้ว่าตัวเอง "สมบูรณ์แบบแล้ว" หรือจริงๆแล้ว มันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคนเท่านั้นเอง?

           อีกเรื่องที่ยากจะยอมรับคือการยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง ด้านมืดๆของตัวเอง ปฎิเสธความชั่วร้ายของตัวเอง เป็นสิ่งที่ยิ่งทำไห้เราห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบมากขึ้นเท่านั้น คนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่น แล้วละเลยที่จะมองมาที่ตัวเอง เราก็เช่นกัน..... ภาษาอังกฤษมีคำๆนึงที่เราชอบมาก "Look at the man in the mirror" ให้หันกลับไปดูคนที่อยู่ในกระจก ก็เหมือนกับให้เราหันกลับมาพิจารณาตัวเองนั่นแหละ ลองคิด ทบทวนดูว่าตัวเองผิดพลาดอะไร ทำอะไรยังไม่ดีพอ ไปทำอะไรให้คนอื่นไม่พอใจหรือเสียใจหรือเปล่า วันนี้เราทำดีที่สุดหรือยัง?  วิธีนี้เป็นอีกวิธีที่เราชอบใช้เป็นประจำ ถึงแม้จุดบกพร่องของเราบางอย่างไม่อาจมองเห็นได้ในตอนนี้ อย่างน้อยเราก็รู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น

              

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

My Bitter Sweet Life Lesson 2 บทเรียนชีวิตหวานขม 2

       เวลาที่เราโตขึ้นเคยเป็นมั้ยคะ ว่าความสุขของเรามันลดลง ความพอใจเล็กๆน้อยจากสิ่งเล็กๆน้อยๆเริ่มหายไป เปลี่ยนเป็นความเร่งรีบ ภาระ และความรับผิดชอบ ที่ทำให้เราหลงลืมความสุขจากอะไรก็ตามที่เคยทำให้เรายิ้มได้ในวัยเด็ก อย่างเช่น ตอนตื่นมาเช้าๆอากาศดีๆกับการ์ตูนสนุกๆและนมสักแก้ว หรือตุ๊กตาตัวเล็กตัวโปรดที่เราคุยกับเค้าได้ทั้งวัน หรือเพลงเพราะๆจากวิทยุที่ขับกล่อมเรายามเช้า เวลาอาบน้ำแต่งตัวใส่เสื้อผ้าอุ่นๆที่แม่พึ่งรีดเสร็จช่างอบอุ่นเหลือเกิน ความตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอเพื่อนๆตอนเช้า ได้พูดคุยเล่าเรื่องราวต่างๆให้กันฟัง ความภูมิในเล็กน้อยเวลาที่ทำการบ้านเสร็จ หรือเวลาที่เรายิ้มได้เพราะล้วงกระเป๋าแล้วเหลือตังสองสามบาทไว้ซื้อลูกอมตอนเย็น ความสุขพวกนี้ มันหายไป.....จนแทบจะจำความรู้สึกเหล่านั้นในวัยเด็กไม่ได้แล้วว่า มีความสุขแค่ไหนนะ? ได้เล่นกับเพื่อนๆ มีความสุขแค่ไหนนะ? เวลาที่ภาระหนักสุดของวันคือการทำการบ้านให้เสร็จ มันเป็นอย่างไรนะ?
พอโตขึ้น เราแสดงหาความสุขในรูปแบบอื่นที่เป็นรูปธรรมขึ้น ให้ตัวเองพอใจ ให้คนอื่นอิจฉา เราอยากได้เสื้อผ้าแพงๆ มีแฟนรวยๆ อยากมีผิวขาวสวย กระเป๋าแบรนด์ดังๆ มือถือไอโฟนราคาแพง อยากมีรถยนต์ยี่ห้อดังขับ ทั้งๆที่ตอนเด็กๆ ไม่เห็นอยากจะได้อยากจะมีของพวกนี้เลยสักนิด บางครั้งเราเลือกที่จะมองข้ามความสุขเล็กน้อยๆแล้วโฟกัสไปที่เงินทองเท่านั้น บางครั้งเรากลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวขึ้น อารมณ์รุนแรงขึ้น เห็นใจคนอื่นน้อยลง เรากลายเป็นคนอีกคนที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะเป็น ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
อะไรที่มีอิทธิพลกับเราได้ขนาดนั้น? เมื่อไหร่กันนะที่เราละทิ้งตัวตนในวัยเด็กของเราไป? จนต้องหันกลับหลังมามองตัวเองในอดีต หันกลับมามองผู้คนที่เราเคยหันหลังให้ ลองถามตัวเองว่า เราพลาดอะไรไปรึเปล่า เรากำลังวิ่งตามสิ่งที่เราต้องการจริงๆรึเปล่า? หรือเพียงต้องการในสิ่งที่คนอื่นจะอิจฉาเท่านั้น เรากำลังโหยหาความสุขแบบผิดวิธีหรือเปล่า?
ลองกลับมาดื่มด่ำกับสิ่งที่เคยทำให้เรามีความสุข ลองบอกอรุณสวัสดิ์กับตุ๊กตาที่นอนเหงาอยู่ข้างเตียง ลองยิ้มให้กับตัวเองในกระจก พูดขอบคุณเวลาที่พนักงานเสิร์ฟอาหารให้ หยุดรถให้คนเดินข้ามถนน พูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบกับคุณป้าแม่บ้าน  หาหนังสือดีๆอ่านสักเล่ม กลับไปดูการ์ตูนที่เราชอบ หลับตาฟังเพลงโปรด ตื่นให้เช้าขึ้น เก็บเงินท่องเที่ยวที่ใหม่ๆ เราจะพบความสุขเล็กๆน้อยๆระหว่างวัน เป็นความสุขหอมหวานที่เราสร้างได้ค่ะ ^_^

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

My Bitter Sweet Life Lesson 1 บทเรียนชีวิตหวานขม 1

    บางทีชีวิตคนเราก็ดูสับสนปนเปกันซะจนจับต้นชนปลายไม่ถูก บางเวลาก็รู้สึกเค้วงคว้างเดียวดาย อีกสักพักก็ยิ้มได้ ต่อมาก็อาจจะร้องไห้เศร้าซึม ที่แน่ๆก็คือ ชีวิตช่างไม่แน่นอนเสียนี่กระไร
    วันไหนที่ฉันรู้สึกเหงา รู้สึกเดียวดาย รู้สึกว่ามีภาระหน้าที่มากมายที่ต้องทำ มีเรื่องเยอะแยะให้ต้องคิด มีเวลา 24 ชั่วโมงที่ช่างน้อยนิดเสียจริงๆ ฉันมักที่จะย้อนกลับไปคิดถึงเวลาในอดีต ช่วงเวลาแสนสนุกตอนเด็กๆตื่นเช้ามาดูการ์ตูน เลิกเรียนก็มีเวลาเล่นไม่ต้องคิดอะไร โตมาอีกหน่อยที่มีช่วงเวลาที่ดีๆกับเพื่อนในแก๊ง ใช้ชีวิตวัยรุ่นเต็มที่ ไม่ต้องมีอะไรให้คิดมากวุ่นวาย ไม่มีภาระมากมาย และไม่ต้องแบกรับความหวังของใคร คิดถึงทีไร ก็อยากจะย้อนเวลากลับไปมีชีวิตแบบนั้นซะจริงๆ
     สักพักหลังจากนั้น ฉันก็ตระหนักว่า ใครมันจะไปย้อนเวลาได้วะ คิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา ผ่านทุกข์ ผ่านสุข ผ่านความท้าทาย และกำแพงต่างๆมามากมายเพียงไหน เป็นระยะทางที่ยาวไกลเหลือเกิน กว่าที่จะมาเป็นฉันคนนี้ อยู่จุดๆนี้ ลำบากเหลือเกิน ผ่านอะไรมาเยอะเกินที่จะย้อนกลับไปทำอะไรแบบนี้อีกรอบ คิดได้แล้วก็อย่ามัวแต่เสียเวลาคร่ำครวญเสียใจที่ต้องทำก็คือ ก้มหน้าก้มตาทำอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าให้มันดี เพราะเวลาที่เราย้อนกลับมัามองตัวเองในเวลานี้ จะได้ไม่ต้องเสียใจและอยากกลับมาแก้ไขมัน อิอิ



วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

OneRepublic



วงโปรดที่ชอบที่สุดของเราเลยก็คือ แท่น แทน แท้นนน OneRepublic นั่นเองค่ะพี่น้อง ชอบมากๆๆๆ ชอบทุกอย่างที่เป็น OneRepublic เลย ฟังเพลงวงนี้มาตั้งแต่ ม.2 ค่ะ เพลงแรกที่ทำให้ชอบคือ Apologize ค่ะ จำได้ว่าตอนนั้นเพลงนี้ดังม๊ากๆเลย วิทยุเปิดแล้วเปิดอีก วันละเกือบสิบรอบเลย เป็นจุดเริ่มต้นที่เราชอบวงนี้







สมาชิกวงนี้ประกอบไปด้วย (จากซ้ายไปขวา)


1. Eddie Fisher -- มือกรอง, percussion, African drum, cajon, guitar, glockenspiel

2. Brent Kutzle -- มือเบส, เชลโล่, acoustic guitar, keyboard, piano, lead guitar, tambourine
3. Ryan Tedder -- นักร้องนำ, rhythm guitar, acoustic guitar, piano, keyboard, bass guitar, tambourine, African drum, percussion 
4. Zach Filkins -- lead guitar, viola, acoustic guitar, tambourine, backing vocals
5. Drew Brown – rhythm guitar, acoustic guitar, keyboard, glockenspielmarimba, bass guitar, piano, tambourine, percussion, drums, backing vocals



วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Songs

      เพลง สิ่งมหัศจรรย์สิ่งที่ 8 ของโลก เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ ก็ได้ยินได้ฟังเพลงมาโดยตลอด ตั้งแต่เพลงที่แม่กล่อมให้เราหลับ เพลงในวิทยุ เพลงชาติทุกแปดโมงเช้าและหกโมงเย็น เพลงที่มาร์ชโรงเรียน เพลงกีฬาสี เพลงในทีวี เพลงในยูทิวป์..        ตั้งแต่เด็กๆก็ชอบร้องเพลงมาโดยตลอด จำไม่ได้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหน แต่เพลงมีบทบาทในชีวิตมากๆ เหมือนว่าวันไหนถ้าไม่ได้ฟังเพลงนี่จะนอนไม่หลับเลยแหละ คริๆ       ดังนั้นในบล็อกนี้ ขอเขียนเพลงโปรดในดวงใจละกันค่ะ ถ้ามีเวลาจะมาอัพเรื่ิอยๆ เป็นเพลงสากลที่เราชอบบบมาตั้งแต่เด็กค่ะ
        เริ่มต้นด้วยเพลงในยุค 80-90 นะคะ คุณพ่อชอบเปิดเพลงยุคนี้ให้ฟังค่ะ เป็นยุคเฟื่องฟูของวงร็อคเอามากๆเลยหล่ะค่ะ มีศิลปินดังๆมากมายในยุคนี้เช่น Queen, Gun n'roses, Red hot chili pepppers, Oasis, Skin row, Bon jovi, Nirvana, Radiohead, Europe, Poison, Scorpions, U2, Pink floyd นอกจากวงร็อคก็ยังมี ;Prince, The Carpenters, Michael Jackson, Paul McCartney, John Lennon, Chicago, Madonna, Whitney Houston ประมาณนี้ ยุค 70 เพราะๆหลายๆเพลงเดี๋ยวมีเวลาจะเขียนนะคะ อิอิ
        จากนั้นก็เป็นเพลงยุคปัจจุบันที่ฟังเองชอบเองค่ะ เริ่มฟังเพลงสากลเองตอน ม.2 ค่ะ ฟังจากช่องวิทยุของจาน UBC (เก่าจุง) ฟังคลื่น Get102.5 แล้วก็ Met107 ค่ะ ฟังได้ทั้งวันทั้งคืน คือช่วงนั้นเล่น youtube ไม่เป็นค่ะ อาศัยฟังจากวิทยุเอา กลับจากเรียนมาก็ฟัง ทำการบ้านก็ฟัง จะนอนก็ฟัง เพลงที่รู้จักส่วนมากเลยเป็นเพลงที่เค้าเปิดให้ฟังในวิทยุนี่แหละค่ะ เพลงดังๆช่วงนั้นจำได้บ้างไม่ได้บ้านเพราะไม่เก่งภาษาอังกฤษ  วงที่ชอบมากๆๆๆก็จะมี OneRepublic, Coldplay, Eminem, Linkin Park, Green day, Maroon5, All American Rejects, The Click Five, Simple Plan, The Owl City, Adam Lambert, Taylor Swift, Jesse McCartney, Avril Lavigne, Miley cyrus, Dido, Kelly Clarkson, Jordin sparks, Shayne Ward, Jonas Brothers, David Archuleta, Jay Sean, Leona Lewis, Paramore, Mariah Carey, Joanna Wang, Britney Spears, The Black Eyed Peas, Westlife, Backstreet boy, Michael Learns To Rock, M2M, Lenka บลาๆ
หน้าใหม่ๆหน่อยก็ชอบ One direction, Fun, Imagine dragons, Adele, Sam smith, Ed sheeran, Jessie J, Ellie Goulding, Passenger บลาๆๆ ให้ไล่นี่คงไล่ไม่หมดแน่